ศาสนาถือว่า เป็นหน้าที่ของบิดามารดาที่ต้องปฏิบัติที่บุตรหลานนั้นยิ่งใหญ่นัก หน้าที่นี้ถือเป็นอะมานะห์จำเป็นที่มนุษย์ทุกคนต้องพึงสังวรณ์ และทุกคนจะต้องถูกสอบสวนในหน้านี้อย่างแน่นอนในวันปรภพ ดังนั้น ผู้ใดที่ปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้อัลลอฮฺทรงพอพระทัยเขาก็จะได้รับชัยชนะ และถ้าผู้ใดที่บกพร่องในหน้าที่สำคัญนี้ เขาจะต้องขาดทุนอย่างย่อยยับทั้งในภาคภพนี้และภพหน้า(ดุนยาและอาคิเราะห์) อัลลอฮฺทรงตรัสฝากบุตรหลานให้เป็นอะมานะห์แก่ผู้ปกครองไว้ในซูเราะห์ อันนิซาอ์ โองการที่ 11 ความว่า “อัลลอฮฺทรงสั่งกำชับแก่พวกเจ้าในเรื่องการเอาใจใส่ดูแลลูกหลานของพวกเจ้า” และอีกโองการหนึ่งในซูเราะห์ อัตตะห์รีม โองการที่ 6 ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงรักษาตัวพวกเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้าให้พ้นจากนรก” ดังนั้น หน้าที่ของมุสลิมต้องสนใจในการอบรมเลี้ยงดูลูกหลานอย่างดีและถูกต้องตามหลักการศาสนาที่อัลลอฮฺและศาสนทูตได้กำหนดไว้ ส่วนหนึ่งจากภาระหน้าที่ดังกล่าวที่พึงมอบให้ลูกหลานก็คือ ให้ปฏิบัติศาสนกิจเมื่อพวกเขามีความสามารถจะกระทำได้ การถือศีลอด ถือเป็นศาสนกิจประเภทหนึ่งที่ต้องอาศัยความอดทน ความอุตสาหะอย่างมาก เพราะฉะนั้น สมควรที่พ่อแม่ต้องให้การอบรมตักเตือนให้บรรดาลูกๆได้ฝึกปฏิบัติแต่เนิ่นๆ เพื่อเมื่อพวกเขาเติบใหญ่จะได้ไม่หนักในการจะปฏิบัติศาสนกิจประเภทนี้ บรรดาสาวกของท่านศาสดา(ร.ฎ.) ได้สนใจที่จะให้บรรดาบุตรหลานของพวกเขาฝึกถือศีลอดตั้งแต่อายุยังเยาว์ และการปฏิบัติเช่นนี้ก็ได้รับการรับรองจากท่านนบี(ซ.ล.) ด้วยดี มีรายงานจากรอเบี๊ยะอ์ บินติมุเอาวิซ(ร.ฎ.) ความว่า “พวกเราทั้งหลายเหล่าสาวกของท่านนบี(ซ.ล.) ได้ใช้ให้บรรดาเด็กๆที่ยังเล็กๆของพวกเราถือศีลอด พวกเราพาพวกเขาไปมัสยิดด้วย และเราได้ให้ของเล่นแก่พวกเขา เมื่อพวกเขาร้องไห้เพราะความหิว พวกเราก็ให้อาหารแก่พวกเขา พวกเราทำอย่างนี้จนถึงเวลาละศีลอด” และบางรายงานมีความว่า “เมื่อพวกเด็กๆร้องขออาหาร พวกเราก็พยายามหาของเล่นแก่พวกเขาเพื่อให้เพลินๆจนกระทั่งถึงเวลาละศีลอด แล้วจึงให้พวกเขาทานอาหารพร้อมพวกเรา” ฉะนั้น ผู้ใดที่มีบุตรยังไม่บรรลุศาสนภาวะ โตพอที่จะถือศีลอดได้ ก็จงฝึกให้เขาถือศีลอด แม้จะไม่เป็นการบังคับพวกเขาในทางศาสนาก็ตาม เพราะท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ(ซบ.) ได้สั่งพวกเราปฏิบัติศาสนกิจนับแต่พวกเรายังด้อยปัญญา คือยังเล็กๆซึ่งพอจะกระทำได้ มีรายงานหะดิษจากท่านอิบนิอุมัร(ร.ฎ.) กล่าวว่า ท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวว่า “ พวกท่านทั้งหลายจงใช้ให้ลูกๆของพวกเจ้าทำละหมาดเมื่อพวกเขาอายุได้ 7 ขวบ และทำโทษได้เมื่ออายุได้ 10 ขวบ และให้แยกที่นอนระหว่างพวกเขา”
Category : ถามตอบ
ให้ท่านออกอีดพร้อมกับพวกเขาขณะที่ท่านอยู่ในมักกะห์ เมื่อรวมวันนับแต่วันแรกที่ท่านถือศีลอดมาจนวันสุดท้ายได้ 29 วันหรือมากกว่านั้น แม้จะเกิน 30 วันก็ตาม เพราะท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวว่า “การถือศีลอดนั้นคือ วันที่ท่านถือศีลอดกัน และการออกอีดคือ วันที่พวกท่านไม่ได้ถือศีลอด และอีดอัฎฮาคือ วันที่พวกท่านทำกุรบานกัน” บันทึกโดยตินมีซี หมายความว่า : จำเป็นที่ท่านต้องถือศีลอด ต้องเลิกถือศีลอด และต้องออกอีกอัฎฮา พร้อมๆกับบรรดามุสลิมีนในประเทศนั้นๆ นอกจากว่าหากท่านถือศีลอดแต่แรกจนวันสุดท้ายนับดูแล้วไม่ถึง 29 วัน ให้ท่านทำการชดใช้ส่วนที่ขาดหลังเดือนรอมฎอน เพราะว่าท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวว่า “เดือน(ในศาสนาอิสลาม)นั้นมี 29วัน และมี 30 วัน”
หญิงที่มีเฮดหรือนิฟาสในเดือนรอมฎอน ศาสนาไม่อนุญาตให้เธอถือศีลอด และแม้เธอจะถือศีลอดก็ใช้ไม่ได้ เธอจำเป็นต้องไม่ถือศีลอด และเธอไม่ต้องเสียค่าปรับ(ฟิดยะห์) ใดๆ แต่เธอจะต้องถือศีลอดชดใช้ตามจำนวนวันที่เธอไม่ได้ถือศีลอดระหว่างการมีเฮดหรือนิฟาส หลังจากพ้นเดือนรอมฎอนแล้ว พระนางอาอิซะห์ อุมมิลมุมินีน(ร.ฎ.) กล่าวว่า “พวกเราประสบกับการมีเฮด พวกเราถูกใช้ให้มีการถือศีลอดชดใช้ แต่เรื่องการละหมาดพวกเรามิได้ถูกใช้ให้ละหมาดชดใช้”
อาหารหรือเครื่องดื่มทุกชนิดที่ได้รับประทานไป ถือว่าเป็นการละศีลอดแล้ว เพียงแต่ว่าที่ประเสริฐและสมบูรณ์ตามซุนนะห์ของท่านนบี (ซ.ล.) นั้นก็คือ อยู่ในคำสอนของท่านที่ว่า “เมื่อคนหนึ่งในพวกท่านถือศีลอด จงละศีลอดด้วยอินทผาลัม เพราะมันเป็นมงคล หากไม่มีอินทผาลัมก็จงละศีลอดด้วยน้ำ มันคือน้ำที่สะอาด” บันทึกหะดีษโดย อาหมัด อบูดาวูด และติรมีซี และอีกหะดีษหนึ่งท่านอะนัสรายงานในบันทึกของทั้งสามท่านเช่นกัน ความว่า: “ท่านศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์ (ซ.ล.) นั้น ท่านได้ละศีลอดด้วยอินทผาลัมสด (รุต๊อบ) – ก่อนจะละหมาด – หากไม่มีอินทผาลัมสด ท่านก็จะละด้วยอินทผาลัมแห้ง (ตะมัร) และหากไม่มีอีก ท่านก็จะละด้วยการจิบน้ำเล็กน้อย”